หน้าเว็บ

20 มกราคม 2554

ปัญหาที่รุมเร้า

เคยมีลูกน้องคนหนึ่งช่างบ่นเหลือเกิน บ่นถึงปัญหาต่างๆ นานามากมายตลอดเวลาที่มีโอกาสได้เจอกัน ไม่ต้องถามเขาหรอก เขาพร้อมที่จะเล่าให้ฟังเสมอ โดยไม่ตระหนักรู้เลยว่าเรานั้นไม่ช้อบไม่ชอบ
เมื่อเขาเล่าถึงปัญหา เราก็พยายามให้ค้นหาสาเหตุเพื่อพิจารณาหาแก้ปัญหาหาทางออก เมื่อเจอทางออกมันก็มีปัญหาตามมาตลอด



เรียกว่าทุกทางออกมีปัญหาเสมอ สุดท้ายก็ต้องถามว่าแล้วจะเอายังไงต่อไป เขาก็บอกว่าไม่รู้จะทำยังไง เพียงมาเล่าให้พี่ฟังให้พี่รับรู้ปัญหาเท่านั้น เราก็บอกเขาว่าปัญหาที่ว่ามานั้นก็รู้อยู่แล้ว รอแต่ว่าเมื่อไรจะมีคนแก้ ถ้าจะไปแก้ให้เดี๋ยวก็ไม่รู้จักโต มีแต่ลูกน้องขี้อ้อนขี้บ่นแต่ไม่ทำอะไรเลย เอางี้ดีไหม คุณรวบรวมรายการปัญหาของคุณมา แล้วพิจารณาว่ารายการไหนที่จะต้องแก้ไขก่อน แล้วก็แก้ไปทีละเปาะที่ละตอน เมื่อเกิดปัญหาก็ตามมาแก้ไปเรื่อยๆ ถึงจะเรียกว่ามืออาชีพ สุดท้ายเขาก็หายหน้าไป พอลืมๆ ก็มาบ่นให้ฟังแล้วก็สรุปเหมือนๆ เดิมอีก
เป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปหรือที่จะสะสมปัญหาสารพันไว้เต็มอก แล้วก็ไม่ทำอะไร บางครั้งถามเข้าจริงๆ เพื่อทำรายการปัญหา ก็ได้เพียงไม่กี่อย่าง แต่เป็นลักษณะปัญหางูกินหาง คือจะแก้ตรงนี้ ตรงนั้นก็จะมีปัญหาตามมา ตามมาๆ ๆ แล้วก็มาจุดเริ่มต้นใหม่
จังหวะเหมาะๆ เคยถามว่าทำไมชอบพูดเรื่องปัญหา แทนที่จะพูดถึงวิธีการแก้ปัญหา เขาบอกว่าเพื่อระบายอารมณ์ ปรับทุกข์กัน เขาไม่สนใจว่าคนฟังจะชอบหรือเปล่า ทุกคนต้องรับต้องทนเขาได้ เขาบอกว่าเขาเป็นคนแบบนี้เอง ในใจไม่มีอะไรมากกว่านี้ ... ท่านเป็นเขาไหม ถ้าใครเป็น ลองฟังนะ!!!
สมมติท่านมีเพื่อน 2 คน คนแรกเจอหน้ากันทีไรมีแต่คุยเรื่องปัญหา เรื่องทุกข์เรื่องโศกอย่างออกรสออกชาติ อีกคนหนึ่งคุยแต่เรื่องจะทำอะไรให้ดีขึ้นข้างหน้า มีแต่หารือปรึกษาแนวทางในเรื่องการพัฒนาต่างๆ ท่านสังเกตตนเองไหมว่า เมื่อท่านอยู่กับเพื่อนคนแรกนั้น ท่านจะรู้สึกห่อเหี่ยวหมดเรี่ยวหมดแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่กับเพื่อนคนหลังท่านจะรู้สึกมีพลัง เกิดความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมา ถามจริงๆ เถอะ เราอยากอยู่กับเพื่อนคนไหนมากกว่ากัน!!
เพื่อนคนแรกนั้นรู้ตัวนะว่าไม่ควรพูด แต่ก็เผลอพูดตลอด พอเราต่อว่าต่อขานเชิงหยิกแกมหยอก เขาก็บอกว่าทำไมต้องถือสาเขา ไม่ต้องมาเป็นอารมณ์กับเขาได้ไหม แค่ฟังเฉยๆ แล้วก็ปล่อยเลยไป
สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ เมื่อรู้จุดอ่อนของตนแล้วทำไม่ไม่คิดพัฒนา กลับบอกว่าเขาเป็นคนแบบนี้เอง แปลกใจจริงๆ ไม่คิดพัฒนาเลย ก็เพียงแค่มีความภาคิภูมิใจในตนเองจากความสำเร็จต่างๆ ในแต่ละวัน จริงๆ แล้งในแต่ละเรื่องที่จะเล่านั้นสามารถเล่าได้หลายทาง เช่นเปลี่ยนจากแนวดราม่ามาเป็นแอ็ดเวนเจอร์ เปลี่ยนจากเรื่องบีบคั้นกดดัน มาเป็นการผจญภัยหาทางออกเท่านั้นเอง
หลายคนบบอกว่านิสัยที่สั่งสมมานานจนถาวรของตนนั้น มันเปลี่ยนยาก เคยถามเขาว่าแล้วอยากเปลี่ยนไหม เขาก็อ้อมๆ แอ้มๆ ไปเรื่อยๆ ก็เลยสรุปให้เขาฟังว่า จริงแล้วนิสัยนั้นไม่ใช่จะเปลี่ยนไม่ได้ เพียงแต่ไม่มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเปลี่ยนต่างหากหากมีความปรารถนาอัน แรงกล้าที่จะเปลี่ยนแล้ว มันจะมีวิธีการมาให้เสมอ เช่นการฝึกสติรู้ตัวเป็นพื้นฐาน ก็ได้แล้ว จะเริ่มพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นได้แล้ว
หรือว่า จะเอาไว้เปลี่ยนตอนที่คนทั้งโลกเขาไม่อยากคบหาสมาคมด้วยแล้ว ถึงตอนนั้นได้อยู่ตัวคนเดียว จะได้พัฒนาตนเอง พอเปลี่ยนได้แล้วก็ค่อยมาบอกกับพวกเขาว่านิสัยตัวนั้นเปลี่ยนไปแล้วนะ มาคบกันใหม่นะ!!

ไม่มีความคิดเห็น: