หนุ่มสาวเราฮาเฮ พอแก่เหยเป
โซเซเข้าวัด / หนุ่มสาวเราเข้าวัด พอแก่ยอกขัด เราเฝ้าบ้าน
นึกถึงคำคมหลวงตา (แพร เยื่อไม้) เมื่อได้ไลน์คุยกับเพื่อนเก่าเรื่องการเสาะหาแหล่งศึกษาธรรม
เพื่อนถามว่าได้ฝึกถึงไหนแล้ว ก็เพียงตอบว่าฝึกถึงขั้นที่ไม่ต้องไปเสาะหาอาจารย์แล้ว
เพราะต้องฝึกต่อไปอย่างจริงๆจังๆ ให้ได้ก่อน ต่อเมื่อสงสัยหรือเกิดปัญหาขึ้น จึงค่อยกลับไปหาอาจารย์
ซึ่งอาจเป็นอีก 2 ปี 3 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้า แต่คาดว่าไม่จำเป็นต้องกลับไปหา
เพราะอาจารย์สอนล่วงหน้ามาเยอะแล้ว ฝึกไปจริงๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าเป็นห่วง
ผู้อาวุโสอีกท่านบอกว่า
อยากฝึกเหมือนกัน แต่กลัวว่าเมื่อฝึกไปๆ ไม่มีใครดูแลช่วยเหลือจะมีอันเป็นไป
ก็เลยไม่กล้าฝึก อันนี้ก็เกิดจากความเชื่อเก่าๆ ที่ว่าฝึกไปมักเกิดอาการเพี้ยน
กลายเป็นจิตวิปลาส ซึ่งเราก็เคยกลัว แต่ก็ฝึกไปอย่างกลัวๆ อย่างนั้นแหละ ดูว่าใครจะแน่กว่ากัน
มันจะกลายเป็นบ้าก็ให้มันบ้าไปเลย ก็ไม่เห็นมันจะบ้าเกินกว่าเดิมซะที
ที่พูดมาก็คือฝึกวิปัสสนากรรมฐานครับ
กว่าจะได้ฝึก ก็ติดอยู่กับสมถกรรมฐานอยู่หลายปี เพิ่งมารู้ว่าต้องฝึกทั้ง 2
อย่างก็เมื่อ 5 กว่าปีมานี้เอง ก็โชคดีที่ได้รู้และได้ฝึก
เมื่อฝึกแล้ว
ก็เอามาบูรณาการกับการทำงาน ทำให้สามารถยึดมั่นในหลักการได้เด่นชัดยิ่งขึ้น เพราะรู้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าอะไรคือหลักการ
อะไรคือหลักกู รู้ว่าหลักการนั้นอาจไม่ได้ถูกใจเราเสมอไป แต่มันเป็นหลักการ
ก็ต้องยึดหลักการ
พูดว่าหลักการก็ดูจะเป็นคำฝรั่งมากไป
พูดแบบไทยก็คือสิ่งที่เป็นธรรม เป็นธรรมชาติเดิมแท้ ไม่มีการปรุงแต่ง เช่น
ความถูกต้องตามข้อเท็จจริง กับความถูกต้องตามคำกล่าวอ้างของบางคนนั้น ไม่เหมือนกัน
และคนเรามักโน้มเอียงเชื่อตามที่ตัวเองชอบมากกว่าความเป็นจริง
ผู้นำที่ไม่รู้ว่าอะไรคือหลักการ
อะรคือหลักกู ก็ต้องพบกับความวิบัติ ล้มหายตายจากไป
ผู้นำที่รู้ว่าอะไรคือหลักการ
อะไรคือธรรมชาติเดิมแท้ ก็ต้องพบกับความยากลำบากในการจัดการกับคนที่ไม่มีธรรม
แต่ก็.. คาราบาวนะ “ชีวิตคือชีวิต
อมิตพุทธ สุดป้าช้าทุกราย ต่างกันเพียงว่าใครเล่าสังคม ถ่มน้ำลายรดหน้า”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น