ทั้งที่ได้รับการฝึกอบรมมามากมาย
ที่ทำให้ทราบถึงหลักการ กรอบความคิด
และแนวทางในการปฏิบัติตัวประพฤติตนสู่ความสำเร็จ สู่ความเป็นมืออาชีพ
แล้วทำไมยังคงประพฤติปฏิบัติตนเช่นกาลก่อน พอใจกับวิถีชีวิตตนเองแล้วหรือ ยอมรับสภาพความเป็นอยู่ปัจจุบันนี้แล้วหรือ?
ดูเหมือนว่าระหว่างการฝึกอบรมและเมื่อจบจากการฝึกอบรมใหม่
ต่างก็มุ่งหมายว่าจะนำหลักการวิธีการที่ดีเหล่านั้นมาประพฤติปฏิบัติ
แต่ทำไมไม่เกิดผลที่ยั่งยืน พวกเขาขาดความมุ่งมั่นที่แท้จริงหรือไม่
หรือไม่เห็นด้วยกับวิธีการหลักการเหล่านั้น ใครรู้ช่วยตอบที!!!
หากจะสรุปให้ถึงสาเหตุรากเหง้าหรือสาเหตุต้นตอแล้ว
เราสามารถพิจารณาตามสัจธรรมได้ว่า ชีวิตเราเป็นไปตามวิธีการคิดของเรา
แต่เราเปลี่ยนความคิดไม่ได้กระนั้นหรือ
พฤติกรรมหรือการกระทำทุกอย่างของเรา
เกิดขึ้นจากกรอบความคิดของเราที่เรามองเราคิดเรารู้สึก หรือตามแผนที่ความคิดของเรา
(Map of
the World) เช่น เราเห็นปัญหาเรื่องการมาทำงานไม่ตรงเวลา
เรารู้สึกอย่างไร เห็นเป็นเรื่องธรรมดากระนั้นหรือ ใครๆ ก็สายได้ ก็รถมันติด
มันไม่แน่ไม่นอน บริษัทต่างหากที่ไม่อะลุ่มอล่วย เข้มงวดเหลือเกินกับการมาสายแค่ 2-3
นาที ทีทำงานเกินเวลาโดยไม่ขอโอที กลับไม่คิด เอาแต่ได้นี่หว่า!!
หากคิดตามหลักการไม่เข้าข้างตนเองแล้ว
เราต้องแยกก่อนครับว่า การมาสาย กับการทำงานเกินเวลานั้นคนละเรื่องกัน
แยกกันคิดนะครับ ขอคิดเรื่องมาสายก่อน ซึ่งหากวิเคราะห์สาเหตุว่าทำไมมาสาย แล้วบอกว่าบ้านไกล
รถติด ฯลฯ ซึ่งถ้าพิจารณาตามหลักการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาแบบ Why-Why แล้ว ก็ถือว่าเป็นคำตอบที่ยอมรับไม่ได้ เพราะบ้านไกล และรถติด ฯลฯ
เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ไม่สามารถแก้ไขได้ การที่อ้างสาเหตุนี้
จึงไม่ใช่สาเหตุของคนที่มีเหตุมีผล คำตอบที่ถูกต้องก็คือ
การเตรียมเวลาสำหรับการเดินทางไม่พอ
สรุปว่าเรากำหนดเวลาสำหรับการเดินทางที่น้อยเกินไป
ไม่ได้เผื่อว่าจะเกิดปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่อาจคาดหมายได้
แน่
นอนว่าปัญหาที่ไม่อาจคาดหมายได้
เป็นเรื่องสุดวิสัย
แต่ต้องดูสถิติว่ามาสายเพราะเหตุไม่คาดหมายมากมายหรือเปล่า
ถ้าพบว่ามาสายเพราะเหตุการณ์ที่ไม่ปกตินี้เกิดขึ้นเดือนละ 1-2
ครั้ง ก็ยังถือว่ายอมรับได้ แต่หากเกิดขึ้นเป็นประจำ ก็เห็นจะอ้างไม่ได้
ดังนั้นการแก้ไขก็คือต้องกำหนดเวลาในการเดินทางใหม่
และแน่นอนว่าต้องมีการตรวจสอบติดตามผล และดำเนินการปรับปรุงต่อไปจนกว่าปัญหามาสายของตนจะหมดไป
จึงจะเรียกว่าแก้ปัญหาได้
สิ่งหนึ่งที่เราอาจไม่ได้นึกถึงผลกระทบของการมาสายของเราเป็นประจำก็คือ
มันแสดงให้เห็นตัวตนของเกี่ยวกับการไม่มีวินัย
ไม่สนใจต่อการปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบกฎเกณฑ์ ไม่รับผิดชอบต่อปัญหาของตน
ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบ
ไม่สามารถวิเคราะห์สาเหตุต้นตอของปัญหาได้อย่างถูกต้อง เป็นต้น
นอกจากนี้
ยังมีกรณีที่มาแสกนนิ้วได้ทันเวลา แต่ว่าหลังจากสแกนนิ้วแล้วก็ออกไปทำธุระส่วนตัว
จะกลับเข้ามาทำงานได้ก็เกินเวลาไปแล้ว 5นาที 10
นาที บางคนถึงขนาดสบายอกสบายใจจนเกินเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง
รู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังคอรัปชั่น ยักยอกเวลาการทำงานไปแล้ว หิริโอตตัปปะ
คืออะไรไม่รู้เรื่อง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ มันยังเอา
แล้วจะเชื่อใจมันได้ไหมนี่ จะสนับสนุนให้พบความก้าวหน้าไดหรือไม่
สนับสนุนไปแล้วจะเปลืองตัวไหมหว่า!!!
แต่หากมองด้วยสายตามที่เป็นธรรม
เรื่องการมาทำงานเร็วขึ้นนี้ ก็เห็นบางคนที่เปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนตนเองได้ดี
น่าดึงเธอเข้ามากอดแล้วหอมซักฟอด
เอาไว้ครั้งต่อไป
จะได้พูดเรื่องเหล่านี้กันต่อไป ทนหน่อยนะ จำเป็นต้องพูดอะไรๆ ที่ทำให้เจ็บปวดใจไปบ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น