หน้าเว็บ

04 มกราคม 2556

ทำไมคนเราไม่เปลี่ยนแปลง?

ทั้งที่ได้รับการฝึกอบรมมามากมาย ที่ทำให้ทราบถึงหลักการ กรอบความคิด และแนวทางในการปฏิบัติตัวประพฤติตนสู่ความสำเร็จ สู่ความเป็นมืออาชีพ แล้วทำไมยังคงประพฤติปฏิบัติตนเช่นกาลก่อน พอใจกับวิถีชีวิตตนเองแล้วหรือ ยอมรับสภาพความเป็นอยู่ปัจจุบันนี้แล้วหรือ?
ดูเหมือนว่าระหว่างการฝึกอบรมและเมื่อจบจากการฝึกอบรมใหม่ ต่างก็มุ่งหมายว่าจะนำหลักการวิธีการที่ดีเหล่านั้นมาประพฤติปฏิบัติ แต่ทำไมไม่เกิดผลที่ยั่งยืน พวกเขาขาดความมุ่งมั่นที่แท้จริงหรือไม่ หรือไม่เห็นด้วยกับวิธีการหลักการเหล่านั้น ใครรู้ช่วยตอบที!!!

หากจะสรุปให้ถึงสาเหตุรากเหง้าหรือสาเหตุต้นตอแล้ว เราสามารถพิจารณาตามสัจธรรมได้ว่า ชีวิตเราเป็นไปตามวิธีการคิดของเรา แต่เราเปลี่ยนความคิดไม่ได้กระนั้นหรือ
พฤติกรรมหรือการกระทำทุกอย่างของเรา เกิดขึ้นจากกรอบความคิดของเราที่เรามองเราคิดเรารู้สึก หรือตามแผนที่ความคิดของเรา (Map of the World) เช่น เราเห็นปัญหาเรื่องการมาทำงานไม่ตรงเวลา เรารู้สึกอย่างไร เห็นเป็นเรื่องธรรมดากระนั้นหรือ ใครๆ ก็สายได้ ก็รถมันติด มันไม่แน่ไม่นอน บริษัทต่างหากที่ไม่อะลุ่มอล่วย เข้มงวดเหลือเกินกับการมาสายแค่ 2-3 นาที ทีทำงานเกินเวลาโดยไม่ขอโอที กลับไม่คิด เอาแต่ได้นี่หว่า!!
หากคิดตามหลักการไม่เข้าข้างตนเองแล้ว เราต้องแยกก่อนครับว่า การมาสาย กับการทำงานเกินเวลานั้นคนละเรื่องกัน แยกกันคิดนะครับ ขอคิดเรื่องมาสายก่อน ซึ่งหากวิเคราะห์สาเหตุว่าทำไมมาสาย แล้วบอกว่าบ้านไกล รถติด ฯลฯ ซึ่งถ้าพิจารณาตามหลักการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาแบบ Why-Why แล้ว ก็ถือว่าเป็นคำตอบที่ยอมรับไม่ได้ เพราะบ้านไกล และรถติด ฯลฯ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ไม่สามารถแก้ไขได้ การที่อ้างสาเหตุนี้ จึงไม่ใช่สาเหตุของคนที่มีเหตุมีผล คำตอบที่ถูกต้องก็คือ การเตรียมเวลาสำหรับการเดินทางไม่พอ สรุปว่าเรากำหนดเวลาสำหรับการเดินทางที่น้อยเกินไป ไม่ได้เผื่อว่าจะเกิดปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่อาจคาดหมายได้
แน่ นอนว่าปัญหาที่ไม่อาจคาดหมายได้ เป็นเรื่องสุดวิสัย แต่ต้องดูสถิติว่ามาสายเพราะเหตุไม่คาดหมายมากมายหรือเปล่า ถ้าพบว่ามาสายเพราะเหตุการณ์ที่ไม่ปกตินี้เกิดขึ้นเดือนละ 1-2 ครั้ง ก็ยังถือว่ายอมรับได้ แต่หากเกิดขึ้นเป็นประจำ ก็เห็นจะอ้างไม่ได้
ดังนั้นการแก้ไขก็คือต้องกำหนดเวลาในการเดินทางใหม่ และแน่นอนว่าต้องมีการตรวจสอบติดตามผล และดำเนินการปรับปรุงต่อไปจนกว่าปัญหามาสายของตนจะหมดไป จึงจะเรียกว่าแก้ปัญหาได้
สิ่งหนึ่งที่เราอาจไม่ได้นึกถึงผลกระทบของการมาสายของเราเป็นประจำก็คือ มันแสดงให้เห็นตัวตนของเกี่ยวกับการไม่มีวินัย ไม่สนใจต่อการปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบกฎเกณฑ์ ไม่รับผิดชอบต่อปัญหาของตน ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบ ไม่สามารถวิเคราะห์สาเหตุต้นตอของปัญหาได้อย่างถูกต้อง เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่มาแสกนนิ้วได้ทันเวลา แต่ว่าหลังจากสแกนนิ้วแล้วก็ออกไปทำธุระส่วนตัว จะกลับเข้ามาทำงานได้ก็เกินเวลาไปแล้ว 5นาที 10 นาที บางคนถึงขนาดสบายอกสบายใจจนเกินเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง รู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังคอรัปชั่น ยักยอกเวลาการทำงานไปแล้ว หิริโอตตัปปะ คืออะไรไม่รู้เรื่อง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ มันยังเอา แล้วจะเชื่อใจมันได้ไหมนี่ จะสนับสนุนให้พบความก้าวหน้าไดหรือไม่ สนับสนุนไปแล้วจะเปลืองตัวไหมหว่า!!!
แต่หากมองด้วยสายตามที่เป็นธรรม เรื่องการมาทำงานเร็วขึ้นนี้ ก็เห็นบางคนที่เปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนตนเองได้ดี น่าดึงเธอเข้ามากอดแล้วหอมซักฟอด
เอาไว้ครั้งต่อไป จะได้พูดเรื่องเหล่านี้กันต่อไป ทนหน่อยนะ จำเป็นต้องพูดอะไรๆ ที่ทำให้เจ็บปวดใจไปบ้าง

ไม่มีความคิดเห็น: